ในด้านภาพยนตร์นั้นถือว่าทำได้ดี เพลงประกอบก็สะท้อนอารมณ์และทำให้รู้สึกสงบ ส่วนเนื้อหานั้นเข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจ วิดีโอนี้นำเสนองานวิจัยของต้นเรดวู้ดที่ถูกฉีดสารที่คล้ายกับอะดรีนาลีนเพื่อยับยั้งไม่ให้มันเข้าสู่ภาวะการจำศีล ต้นไม้เหล่านั้นจึงตายลงเพราะพวกมันไม่ได้เข้าสู่วงจรของการ “จำศีลในฤดูหนาว” ตามธรรมชาติ
สิ่งที่วิดีโอนี้กำลังสื่อคือสภาพนี้อาจเกิดขึ้นกับเราได้เช่นกันถ้าเรายุ่งอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีฤดูแห่งการหยุดพัก และนั่นอาจเป็นเรื่องจริง แต่วิดีโอนั้นมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่เคยมีงานวิจัยนี้ ต้นเรดวู้ดมีสีเขียวอยู่ตลอดโดยไม่มีช่วงจำศีล และต้นไม้ในวิดีโอเป็นต้นสนซีคัวญ่ายักษ์ไม่ใช่ต้นเรดวู้ดแนวชายฝั่ง แม้ว่าวิดีโอนี้จะดูมีประโยชน์ แต่มันตั้งอยู่บนความหลอกลวง
เราอาศัยอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้การหลอกลวงขยายใหญ่และเพิ่มมากขึ้นจนถึงจุดที่ทำให้เราเชื่อว่านั่นคือความจริง พระธรรมสุภาษิตซึ่งเต็มไปด้วยพระปัญญาของพระเจ้าพูดถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนของความจริงและความหลอกลวง “ริมฝีปากที่พูดจริงทนอยู่ได้เป็นนิตย์ แต่ลิ้นที่พูดมุสาอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว” (12:19) และข้อต่อไปบอกเราว่า “ความหลอกลวงอยู่ในใจของบรรดาผู้คิดแผนการชั่วร้าย แต่บรรดาผู้กะแผนงานที่ดีมีความชื่นบาน” (ข้อ 20)
ในทุกสิ่งนั้นจะต้องมีความซื่อตรง ไม่ว่าจะเป็นพระบัญชาของพระเจ้าไปจนถึงวิดีโอเกี่ยวกับการจำศีลในฤดูหนาว เพราะความจริง “ทนอยู่ได้เป็นนิตย์”
คุณอาจเคยเห็นหรือได้ยินคำพูดต่อไปนี้ในรูปแบบต่างๆ “ถ้าอยากไปให้เร็ว จงไปคนเดียว แต่ถ้าอยากไปให้ไกล ต้องไปด้วยกัน” นี่เป็นความคิดที่ฟังดูดีใช่ไหม แต่มีงานวิจัยที่เชื่อถือได้ชิ้นใดบ้างที่ยืนยันกับเราว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่แค่ฟังดูดี แต่เป็นจริงได้ด้วย
ที่จริงแล้วมีงานวิจัยทำนองนี้ชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานของนักวิจัยชาวอังกฤษและอเมริกันที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีคนอื่นยืนอยู่ด้วยนั้น พวกเขาจะมองเห็นภูเขามีขนาดเล็กกว่าในเวลาที่ยืนอยู่คนเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “การสนับสนุนทางสังคม” มีความสำคัญมากจนถึงกับทำให้ขนาดของภูเขาในความคิดของเราเล็กลงไปถนัดตา
ดาวิดพบว่ากำลังใจที่เกิดจากมิตรภาพระหว่างท่านกับโยนาธานนั้นทั้งงดงามและจริงแท้ พระพิโรธจากความอิจฉาของกษัตริย์ซาอูลเป็นเหมือนภูเขาที่ยากจะพิชิตได้สำหรับดาวิด และทำให้ท่านกลัวว่าจะถูกฆ่า (ดู 1 ซมอ.19:9-18) หากท่านไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิท เรื่องราวอาจจะพลิกผันไปอีกด้าน แต่โยนาธานยืนเคียงข้างสหายของท่าน “ท่านเศร้าใจด้วยเรื่องดาวิด เพราะว่าพระราชบิดาของท่านได้หยามน้ำหน้าดาวิด” (20:34) “ทำไมเขาจะต้องถูกประหาร” ท่านถาม (ข้อ 32) มิตรภาพของพวกเขาที่ได้รับการเจิมจากพระเจ้าช่วยส่งเสริมดาวิดและช่วยทำให้ท่านได้กลายมาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล
มิตรภาพของเรานั้นสำคัญ และเมื่อพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์นั้น เราจะสามารถหนุนใจกันและกันเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะคิดได้
คุณเคยไหมที่กำลังเล่าเรื่องอยู่แล้วต้องหยุดกลางคันเพราะนึกรายละเอียดบางอย่างไม่ออก เช่น ชื่อหรือวันที่่ เรามักเข้าใจว่าเป็นเพราะอายุที่มากขึ้นโดยเชื่อว่าความทรงจำเลือนหายไปตามเวลา แต่งานวิจัยล่าสุดไม่สนับสนุนความคิดนี้ ที่จริงแล้วงานวิจัยบ่งชี้ว่าความทรงจำของเราไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นความสามารถในการกู้คืนความทรงจำของเราต่างหาก หากไม่มีการฝึกฝนอย่างเป็นประจำแล้ว การเข้าถึงความทรงจำจะทำได้ยากขึ้น
หนึ่งในวิธีที่จะพัฒนาความสามารถในการกู้หรือเรียกคืนความทรงจำนั้นคือการจัดตารางอย่างสม่ำเสมอที่จะทำสิ่งเดิมนั้นหรือไปอยู่ในเหตุการณ์บางเรื่องที่จะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำ พระเจ้าองค์พระผู้สร้างของเราทรงทราบสิ่งนี้ พระองค์จึงทรงให้ลูกหลานของชนชาติอิสราเอลจัดเวลาหนึ่งวันต่อสัปดาห์ไว้สำหรับการนมัสการและหยุดพัก นอกจากการพักผ่อนทางกายที่ได้จากวันหยุดแล้ว เรายังได้มีโอกาสฝึกฝนจิตใจที่จะระลึกว่า “ในหกวันพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น” (อพย.20:11) สิ่งนี้ช่วยให้เราจดจำได้ว่ามีพระเจ้าอยู่ และทุกสิ่งไม่ได้มาจากเรา
ในท่ามกลางความเร่งรีบของชีวิต บางครั้งเราลืมสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อเราและผู้อื่น เราลืมว่าใครกันที่เฝ้าดูชีวิตของเราอย่างใกล้ชิด และใครที่สัญญาว่าจะอยู่กับเราในเวลาที่เรารู้สึกท่วมท้นและโดดเดี่ยว การหยุดพักจากกิจวัตรประจำวันจะทำให้เรามีโอกาสที่จะ “ฝึกฝนการกู้คืน” ที่จำเป็นนั้น คือ การตัดสินใจอย่างมีเป้าหมายที่จะหยุดและระลึกถึงพระเจ้าของเราและ “อย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์” (สดด.103:2)
นักวิชาการและนักเขียนเจมส์ อินเนล แพ็คเกอร์ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ เจ. ไอ. แพ็คเกอร์ เสียชีวิตลงในปี 2020 ก่อนวันเกิดปีที่เก้าสิบสี่ของเขาเพียงห้าวัน หนังสือที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาคือ รู้จักพระเจ้า (Knowing God) ขายได้มากกว่า 1.5 ล้านเล่มนับตั้งแต่ตีพิมพ์ แพ็คเกอร์ให้ความสำคัญกับสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์และการสร้างสาวก และกระตุ้นเตือนให้ผู้เชื่อในพระคริสต์ทุกแห่งหนดำเนินชีวิตเพื่อพระเยซูอย่างจริงจัง ในช่วงบั้นปลายชีวิตเขาเคยถูกถามถึงคำสั่งเสียสุดท้ายสำหรับคริสตจักร แพ็คเกอร์กล่าวประโยคที่มีคำเพียงสี่คำว่า “สรรเสริญพระคริสต์ทุกทาง”
ถ้อยคำเหล่านี้สะท้อนถึงชีวิตของอัครทูตเปาโล หลังการกลับใจใหม่อย่างอัศจรรย์ ท่านก็ตั้งใจทำพันธกิจที่อยู่ตรงหน้าท่านอย่างสัตย์ซื่อและวางใจพระเจ้าในผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ถ้อยคำของเปาโลที่พบในหนังสือโรมเป็นถ้อยคำที่อัดแน่นไปด้วยหลักศาสนศาสตร์มากที่สุดในพันธสัญญาใหม่ และแพ็คเกอร์ได้สรุปอย่างสอดคล้องกับสิ่งที่อัครทูตเขียนไว้ว่า “สรรเสริญพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (15:6 )
ชีวิตของเปาโลเป็นตัวอย่างสำหรับเรา เราสามารถยกย่อง (ถวายเกียรติ) พระเจ้าได้หลายวิธี วิธีหนึ่งคือการดำเนินชีวิตตามที่ได้ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา และฝากผลลัพธ์ไว้ในพระหัตถ์ซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหนังสือ การเดินทางเผยแผ่ศาสนา การสอนในชั้นประถม หรือการดูแลพ่อแม่สูงอายุ เป้าหมายยังคงเดิมคือการ สรรเสริญพระคริสต์ทุกทาง! เมื่อเราอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ พระเจ้าจะทรงช่วยให้เราดำเนินชีวิตที่อุทิศตัวในการเชื่อฟัง และมีชีวิตในแต่ละวันเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเยซูในทุกสิ่งที่เราพูดและทำ
ผมและเพื่อนอีกสองคนกำลังจะไปยังหนึ่งในสถานที่ที่ใฝ่ฝันไว้ นั่นคือการไปเดินป่าที่แกรนด์ แคนยอน เราไม่แน่ใจว่าเรามีน้ำเพียงพอหรือไม่ในตอนที่เริ่มออกเดินทาง และน้ำนั้นก็หมดไปอย่างรวดเร็ว เราไม่มีน้ำเหลือเลยในขณะที่ระยะทางยังอีกไกลกว่าจะไปถึงริมหน้าผา เราเริ่มหายใจหอบสลับกับการอธิษฐาน เมื่อเลี้ยวตรงทางโค้งเรารู้สึกเหมือนมีปาฏิหารย์เกิดขึ้น เราเห็นขวดน้ำสามขวดวางไว้อยู่ในรอยแยกของหินพร้อมกับข้อความเขียนว่า “รู้ว่าคุณต้องการสิ่งนี้ ขอให้ดื่มอย่างมีความสุข!” เรามองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตา กระซิบขอบคุณพระเจ้าเบาๆ และค่อยๆจิบน้ำนั้น แล้วจึงออกเดินทางต่อในระยะสุดท้าย ผมไม่เคยรู้สึกกระหายและรู้สึกขอบคุณมากเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต
ผู้เขียนสดุดีไม่ได้มีประสบการณ์ที่แกรนด์ แคนยอน แต่เห็นได้ชัดว่าท่านรู้ถึงปฏิกิริยาของกวางว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อมันกระหายน้ำและอาจจะรู้สึกกลัวด้วย กวาง “กระเสือกกระสน” (สดด.42:1) คำนี้ที่ทำให้นึกถึงความหิวและกระหาย จนถึงขั้นที่คุณกลัวว่าคุณอาจถึงแก่ชีวิตได้ ผู้เขียนสดุดีเปรียบความกระหายของกวางว่าเหมือนกับความปรารถนาที่ท่านมีต่อพระเจ้า “จิตวิญญาณของข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น” (ข้อ 1)
เช่นเดียวกับน้ำที่เรากระหายหา พระเจ้าก็ทรงเป็นความช่วยเหลือในทุกเวลาของเรา เรากระหายหาพระองค์เพราะพระองค์ประทานกำลังและการฟื้นชื่นใหม่มาสู่ชีวิตที่อ่อนล้าของเรา และทรงเตรียมเราให้พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่รอเราอยู่ในการเดินทางของชีวิต
ในการกล่าวสุนทรพจน์พิธีรับปริญญาในปี 2013 ที่มหาวิทยาลัยซีราคิวส์ จอร์จ ซาวเดอส์นักเขียนหนังสือขายดีของ นิวยอร์ก ไทมส์ ได้ตอบคำถามที่ว่า “อะไรที่ทำให้ผมเสียใจ” โดยการตอบของเขาเป็นไปในแบบที่ผู้อาวุโสกว่า (ซาวเดอส์) แบ่งปันถึงความเสียใจหนึ่งหรือสองครั้งที่เขามีในชีวิตให้กับคนหนุ่มสาว (ผู้สำเร็จการศึกษา) ที่อาจได้เรียนรู้จากตัวอย่างของเขา เขากล่าวถึงบางเรื่องที่ผู้คนอาจคิดว่าเขาเสียใจ เช่น ความยากจนและการทำงานที่ต่ำต้อย แต่ซาวเดอส์กล่าวว่าเขาไม่เสียใจเลยในเรื่องพวกนั้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาเสียใจคือ ความล้มเหลวที่จะแสดงความเมตตา ซึ่งเป็นโอกาสที่เขาต้องแสดงความเมตตาต่อบางคนแต่เขาก็ปล่อยให้มันผ่านไป
อัครทูตเปาโลเขียนถึงผู้เชื่อในเมืองเอเฟซัสเพื่อตอบคำถามที่ว่า ชีวิตคริสเตียนมีลักษณะอย่างไร ซึ่งอาจเป็นคำถามที่กระตุ้นให้เรารีบให้คำตอบ เช่น การมีมุมมองทางการเมืองแบบใดแบบหนึ่ง การหลีกเลี่ยงหนังสือหรือภาพยนตร์บางประเภท การนมัสการในรูปแบบใดแบบหนึ่ง แต่วิธีนำไปสู่จุดหมายของเปาโลไม่ได้จำกัดอยู่กับประเด็นร่วมสมัย ท่านกล่าวถึงการละเว้นจาก “คำหยาบคาย” (อฟ.4:29) และการสลัดตนเองให้พ้นจากสิ่งต่างๆ เช่น ใจขมขื่นและใจโกรธ (ข้อ 31) จากนั้นเพื่อสรุป “สุนทรพจน์” ของท่านด้วยใจความสำคัญ ท่านกล่าวกับชาวเอเฟซัสตลอดจนพวกเราว่า “จงเมตตาต่อกัน” (ข้อ 32) และเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังก็คือเพราะพระเจ้าทรงเมตตาต่อท่านในพระคริสต์
ในบรรดาทุกสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นชีวิตที่อยู่ในพระเยซู หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าคือการมีความเมตตา
เขาเป็นที่รักของทุกคน นั่นคือคำบรรยายถึงดอน กุยเซปเป้ เบราร์เดลลีแห่งเมืองคาสนิโก ประเทศอิตาลี ดอนซึ่งเป็นที่รักของผู้คนจะขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าไปรอบเมืองและกล่าวทักทายทุกครั้งว่า “ขอให้มีสันติสุขและสิ่งดี” เขาทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์ของคนอื่น แต่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขามีปัญหาสุขภาพที่แย่ลงเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ชุมชนของเขาได้ซื้อเครื่องช่วยหายใจเพื่อตอบแทนเขา แต่เมื่อใกล้วาระสุดท้าย เขาปฏิเสธเครื่องช่วยหายใจโดยเลือกที่จะให้กับผู้ป่วยอายุน้อยที่ต้องการมัน การได้ยินคำปฏิเสธของเขาไม่ได้ทำให้ใครแปลกใจ เพราะนั่นเป็นคุณสมบัติอันเรียบง่ายของชายผู้เป็นที่รักและเป็นที่ชื่นชมเพราะรักผู้อื่น
เป็นที่รักเพราะแสดงความรัก นี่คือข่าวสารที่อัครทูตยอห์นกล่าวอยู่เสมอตลอดพระกิตติคุณของท่าน การเป็นที่รักและรักผู้อื่นนั้นเป็นเหมือนกับระฆังโบสถ์ที่ส่งเสียงดังทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร และในยอห์นบทที่ 15 ยอห์นได้เปิดเผยบางอย่างซึ่งเป็นจุดสูงสุด นั่นคือว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่การเป็นที่รักของทุกคน แต่คือการรักทุกคน คือ “การที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ข้อ 13)
ตัวอย่างความรักที่เสียสละของมนุษย์เป็นแรงบันดาลใจให้เราเสมอ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ดูหม่นไปเมื่อเทียบกับความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ขอให้เราไม่พลาดโอกาสที่ท้าทายนี้ เพราะพระเยซูทรงบัญชาว่า “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน” (ข้อ 12) ใช่แล้ว จงรักทุกคน
ในหนังสือ รับอุปการะตลอดชีวิต (Adopted for Life) ดร.รัสเซลล์ มัวร์เล่าถึงการเดินทางของครอบครัวของเขาไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อรับอุปการะเด็กคนหนึ่ง ขณะที่พวกเขาเข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็กนั้น ที่นั่นเงียบอย่างน่าใจหาย เด็กทารกในเปลไม่ร้องไห้เลย ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการอะไร แต่เพราะพวกเขาเรียนรู้ว่าไม่มีใครใส่ใจพอที่จะตอบพวกเขา
หัวใจผมเจ็บแปลบเมื่อได้อ่านข้อความเหล่านั้น ผมจำได้ถึงคืนแล้วคืนเล่าเมื่อลูกของเรายังเล็ก ผมกับภรรยาหลับสนิทและต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องของพวกเขา “พ่อครับ ผมไม่สบาย!” หรือ “แม่ หนูกลัว!” เราคนใดคนหนึ่งจะรีบลุกไปที่ห้องนอนของพวกเขาเพื่อพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปลอบโยนและดูแลพวกเขา ความรักที่เรามีต่อลูกๆทำให้พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือจากเรา
บทเพลงสดุดีจำนวนมากมายหลายบทนั้นเป็นการร้องไห้หรือการคร่ำครวญต่อพระเจ้า ชนชาติอิสราเอลคร่ำครวญต่อพระองค์เพราะพระองค์ทรงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพวกเขา คนเหล่านี้คือชนชาติที่พระเจ้าทรงเรียกว่า “บุตรหัวปี” ของพระองค์ (อพย.4:22) และพวกเขากำลังทูลขอพระบิดาของพวกเขาให้ตอบสนองตามความสัมพันธ์นั้น ความเชื่อมั่นจากใจจริงเห็นได้ในสดุดี 25 ที่ว่า “ขอพระองค์ทรงหันมายังข้าพระองค์ และมีพระกรุณาต่อข้าพระองค์...ขอทรงนำข้าพระองค์ออกจากความทุกข์ใจของข้าพระองค์” (ข้อ 16-17) เด็กๆจะร้องไห้ หากพวกเขามั่นใจว่าตนเองได้รับความรักจากผู้ที่ให้การดูแล พระเจ้าประทานเหตุผลให้เราเรียกหาพระองค์ได้ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซูและลูกของพระองค์ พระองค์ทรงสดับฟังและทรงห่วงใยก็เพราะความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
เป็นเวลาสองสามปีแล้วที่ผมไม่ได้เจอเพื่อนเก่าคนนี้ ในระหว่างนั้นเขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งและได้เริ่มกระบวนการรักษา การเดินทางที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเพื่อไปยังรัฐที่เขาอาศัยอยู่ทำให้ผมมีโอกาสได้พบเขาอีกครั้ง ผมเดินเข้าไปในร้านอาหารและเราทั้งคู่น้ำตาคลอ นานมากแล้วที่เราไม่ได้มีโอกาสอยู่ในห้องเดียวกัน และบัดนี้ความตายหมอบอยู่ตรงมุมห้องทำให้เราตระหนักว่าชีวิตนี้สั้นนัก น้ำตาของเราไหลออกมาเนื่องจากมิตรภาพอันยาวนานที่เต็มไปด้วยการผจญภัย เรื่องตลก เสียงหัวเราะ การสูญเสีย และความรัก ความรักมากมายไหลออกมาจากหางตาของเราเมื่อเรามองเห็นกันและกัน
พระเยซูก็ร้องไห้เช่นกัน พระกิตติคุณยอห์นบันทึกช่วงเวลานั้นไว้ หลังจากที่พวกยิวกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด” (ยอห์น 11:34) และพระเยซูประทับอยู่หน้าอุโมงค์ฝังศพของลาซารัสเพื่อนรักของพระองค์ จากนั้นเราอ่านพบถ้อยคำที่เปิดเผยให้เราเห็นว่าพระคริสต์ได้ทรงสวมสภาพของมนุษย์เช่นเดียวกับเราไว้อย่างลึกซึ้ง “พระเยซูทรงกันแสง” (ข้อ 35) ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่เกิดขึ้นซึ่งยอห์นไม่ได้บันทึกไว้หรือไม่ ใช่แล้ว และผมยังเชื่อด้วยว่าปฏิกิริยาของพวกยิวที่มีต่อพระเยซูกำลังบอกว่า “ดูซิ พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร” (ข้อ 36) ประโยคนั้นเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้เราหยุดเพื่อนมัสการพระเจ้าผู้ทรงเป็นสหายที่รู้จักความอ่อนแอทุกอย่างของเรา พระเยซูทรงมีเนื้อหนัง มีเลือด และน้ำตา พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงกอปรด้วยความรักและความเข้าใจ